Home Blog

มารู้จักนมควายและประโยชน์

การดื่มนมเป็นที่นิยมในทุกเพศทุกวัย เพราะอุดมไปด้วยแคลเซียมและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ยังมีนมอีกชนิดหนึ่งคนไม่ค่อยรู้จักแต่มีประโยชน์สูงกว่านมวัว นั่นก็คือ “นมควาย” วันนี้เราจะพาไปรู้จักนมควายกันคะ

นมควายคืออะไร? 

ควาย หรือชื่อทางวิทยาศาตร์คือ Bubalus bubalis เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมายความว่าควายมีต่อมสำหรับผลิตน้ำนมออกมาเลี้ยงลูกของมัน ซึ่งในบางประเทศมีการรีดนมควายเพื่อการค้า แม้ควายจะมีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่ควาย(water buffalo)นั้นมีส่วนช่วยในการผลิตน้ำนมมากที่สุดในโลก 

นมควายประมาณ 80% ทั่วโลกมาจากอินเดียและปากีสถาน ตามด้วยจีน อียิปต์ และเนปาลที่มีนมควายมากกว่านมวัว นอกจากนี้สามารถพบผลิตภัณฑ์จากนมควายในแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะในอิตาลีซึ่งส่วนใหญ่จะใช้นมทำชีส นมควายมีโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งให้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและดีต่อการผลิตเนย ครีม และโยเกิร์ต 

ประโยชน์ของการดื่มนมควาย 

1.ช่วยเสริมสร้างกระดูก 

นมควายให้แคลเซียมสูงซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของเปปไทด์ที่ได้รับจากเคซีน ที่อาจช่วยเรื่องสุขภาพกระดูกและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ซึ่งเคซีนเป็นโปรตีนที่สำคัญที่พบในนม คิดเป็น 89% ของปริมาณโปรตีนทั้งหมดในนมควาย  

2.มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ 

เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ นมควายมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระเนื่องจากวิตามิน แร่ธาตุ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มสารประกอบที่มีผลร้ายต่อร่างกายและเกี่ยวข้องกับโรคบางชนิด และไขมันจากนมควาย ให้สารฟีนอลปริมาณเล็กน้อย และวิตามินที่ละลายในไขมัน รวมถึงวิตามิน A และ E ซึ่งทั้งหมดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ 

3.บำรุงสุขภาพหัวใจ 

บีตา-แล็กโทโกลบูลินและโพแทสเซียมในนมควายอาจช่วยลดความดันโลหิตสูง ซึ่งบีตา-แล็กโทโกลบูลิน เป็นเวย์โปรตีนหลักและเป็นแหล่งสำคัญของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ต่อสุขภาพ จากการศึกษาในหลอดทดลองพบว่า บีตา-แล็กโทโกลบูลินในนมควายสามารถยับยั้งแองจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติง เอนไซม์ ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เพิ่มความดันโลหิต จึงช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ นอกจากนี้โพแทสเซียมยังเป็นแร่ธาตุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันโลหิตอีกด้วย 

แม้ว่านมควายจะไม่ได้รับความนิยมในอเมริกาเท่านมวัว แต่เป็นนมประเภทหลักที่บริโภคหลายประเทศในเอเชียใต้ มันมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุมากกว่านมวัว นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์ที่อาจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และปรับปรุงสุขภาพของกระดูกและหัวใจ

เช็คผ้าห่มถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้วหรือยัง

ผ้าห่ม เป็นของใช้ที่อยู่กับเราตลอดเวลาที่เรานอน ต้องรองรับเหงื่อ ขี้ไคล รวมถึงเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ดังนั้นปลอกผ้าห่มจึงกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคชั้นดี และยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้และหอบหืดได้อีกด้วย

ผ้าห่ม (Blanket) เป็นเครื่องนอนที่ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในขณะที่เรานอนหลับ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือในสภาพอากาศที่เย็น การใช้ผ้าห่มช่วยป้องกันความหนาวเย็นและทำให้เรารู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น  

ผ้าห่มกับการนอนหลับอย่างไร? 

ผ้าห่มเป็นสิ่งจำเป็นที่สำคัญต่อการนอนหลับเพราะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสบายและให้ความอบอุ่นในช่วงเวลาพักผ่อนของเรา ดังนั้น ผ้าห่มมีบทบาทสำคัญต่อการนอนหลับของเรา ดังต่อไปนี้ 

1.ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย

ขณะที่นอนหลับอุณหภูมิจะลดลงต่ำสุดโดยเฉพาะตอนใกล้เช้า การห่มผ้าจะช่วยรักษาอุณหภูมิไว้อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการนอนหลับคือ 18-22 องศาเซลเซียส 

2.ส่งเสริมความรู้สึกผ่อนคลาย

ผ้าห่มสัมผัสนุ่มนวลสามารถกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนิน ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ นอนหลับง่าย หลับสบายยิ่งขึ้น 

3.สร้างความรู้สึกปลอดภัย

การห่มผ้าสามารถจำลองความรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดหรือห่อหุ้ม ลดความรู้สึกวิตกกังวล 

4.ส่งสัญญาณว่าถึงเวลานอนแล้ว

ตั้งแต่เป็นเด็กก่อนเข้านอนก็จะมีคุณพ่อ คุณแม่เข้ามาห่มผ้าให้ทุกครั้ง ส่งผลให้สมองของเราสั่งการให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า ห่มผ้าเมื่อไรเท่ากับถึงเวลานอนหลับแล้ว 

สัญญาณเตือนถึงเวลาเปลี่ยนผ้าห่มเก่า 

การเปลี่ยนผ้าห่มเก่าเป็นเรื่องสำคัญคุณสามารถใช้เพื่อตรวจสอบว่าถึงเวลาเปลี่ยนผ้าห่มเก่าแล้วหรือยัง ดังต่อไปนี้ 

  1. ได้กลิ่นเหม็นหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์จากผ้าห่มเก่า ถึงแม้ว่าจะซักแล้วก็ยังคงมีกลิ่นอยู่
  2. มีคราบและรอยเปื้อนที่ไม่สามารถซักออกได้ 
  3. ผ้าห่มเก่าสีซีดจางหรือหมองลง 
  4. เวลานอนห่มผ้าหรือจับผ้าห่มเก่าแล้วให้ความรู้สึกหยาบแข็งกระด้าง 
  5. ไส้ในผ้าห่มเก่าจะบางลง ไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้เพียงพอ พยายามห่มเท่าไรก็ยังหนาวสั่นเหมือนเดิม 
  6. มีอาการผื่นคัน ระคายเคืองผิวระหว่างห่มผ้า 
  7. เนื้อผ้าขาด ด้ายหลุดลุ่ย 
  8. ใช้ผ้าห่มเก่านานกว่า 5-8 ปี 
  9. ไม่ใส่หรือเปลี่ยนปลอกผ้าห่มเก่าเลยสักครั้ง 
  10. ผ้าห่มเก่าจะยืดหรือเสียรูปทรง 

ผ้าห่มที่ผ่านการใช้งานมานานแล้วมีลักษณะเสื่อมสภาพลง เช่น มีรอยยับหรือเส้นใยในผ้าห่มบางลงจนไม่สามารถห่มผ้าให้ความอบอุ่นระหว่างนอนหลับได้จากการใช้งานมานานหลายปีไม่เหมือนตอนที่ซื้อมาใหม่ ๆ ส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับของเราไม่ดีเท่าที่ควร

ขั้นตอนง่ายๆ ปลูกพืชไมโครกรีนไว้ทานเองที่บ้าน

ไมโครกรีน (Microgreens) คือผักใบอ่อนที่มีขนาดเล็ก เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารอาหาร เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ การปลูกไมโครกรีนที่บ้านเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดในการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับมื้ออาหารของคุณ วิธีปลูกไมโครกรีนที่บ้านก็ไม่ยุ่งยาก ใครๆก็ทำได้

อุปกรณ์และวัสดุในการปลูกไมโครกรีน 

  1. เมล็ดพันธุ์ ควรเลือกเมล็ดที่ปลอดสารเคมีและไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม พืชที่นิยมปลูกเป็นไมโครกรีน ได้แก่ แรดิช (Radish), บร็อคโคลี่, ผักบุ้ง, ผักชี, ถั่วลันเตา และทานตะวัน
  2. ถาดปลูก สามารถใช้ถาดพลาสติกที่มีรูระบายน้ำด้านล่าง หรือถาดที่ทำจากวัสดุอื่น ๆ ที่สามารถระบายน้ำได้ดี
  3. วัสดุปลูก ดินปลูกควรเป็นดินที่มีความร่วนซุยและมีการระบายน้ำดี หรือสามารถใช้วัสดุปลูกแบบไม่มีดิน เช่น เพอร์ไลต์ (Perlite) หรือเวอร์มิคูไลต์ (Vermiculite)
  4. ขวดสเปรย์ ใช้สำหรับฉีดน้ำเพื่อรักษาความชื้นในดินหรือวัสดุปลูก
  5. แสงสว่าง ไมโครกรีนต้องการแสงในการเจริญเติบโต ควรปลูกใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดดส่องถึง หรือใช้หลอดไฟสำหรับการปลูกพืช (grow light) แทน

ขั้นตอนการปลูกไมโครกรีน 

  1. เตรียมถาดปลูก โดยเลือกถาดปลูกที่มีรูระบายน้ำและใส่ดินปลูกหรือวัสดุปลูกลงไปในถาด ควรใส่ให้หนาประมาณ 2-3 เซนติเมตร และเกลี่ยดินให้เรียบเสมอกัน
  2. โรยเมล็ดพันธุ์ให้กระจายทั่วถาดปลูก โดยไม่ต้องกลบด้วยดิน 
  3. ใช้ขวดสเปรย์ฉีดน้ำวัสดุปลูกเปียกชุ่ม แต่ไม่ควรให้น้ำมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เมล็ดเน่าได้ หลังจากนั้นคลุมถาดด้วยฝาหรือพลาสติกใส เพื่อรักษาความชื้นและช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น
  4. นำถาดที่ใส่เมล็ดพันธุ์ไปว่างในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง หรือใช้หลอดไฟสำหรับการปลูกพืช ให้แสงส่องถึงถาดปลูกวันละ 4-6 ชั่วโมง
  5. เมล็ดจะเริ่มงอกและเจริญเติบโต ใน 2-7 วันแรก และฉีดน้ำเพื่อรักษาความชื้นดินเป็นประจำ หากใช้พลาสติกคลุมถาด ควรเปิดพลาสติกออกเมื่อเห็นว่าเมล็ดเริ่มงอก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
  6. ไมโครกรีนสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีความสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร จะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันหลังการปลูก ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ใช้กรรไกรตัดต้นอ่อนใกล้กับระดับดิน หรือระดับวัสดุปลูก

การปลูกไมโครกรีนที่บ้านเป็นกิจกรรมที่สนุกและแถมยังได้ผักที่มีประโยชน์ไว้รับประทานอีกด้วย สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยอุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น ลองปลูกผักไมโครกรีนที่บ้านอาจเป็นช่องทางการทำเงินอีกทางก็ได้นะ 

รู้ไว้ 3 พฤติกรรม เสี่ยงออฟฟิตซินโดรม

ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคออฟฟิตซินโดรมเพิ่มจำนวนมากขึ้น และเป็นผู้ป่วยที่มีอายุลดน้อยลงเรื่อยๆอีกด้วย ทำให้เราเห็นได้ว่าโรคออฟฟิตซินโดรมเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ ใครก็สามารถเป็นได้ ซึ่งส่วนมากเกิดจากพฤติกรรมที่เคยทำแบบผิดท่าผิดทาง ส่งผลต่อข้อและกระดูก

พฤติกรรมเสี่ยงเกิดโรคออฟฟิตซินโดรม 

การใช้ชีวิตประจำวัน ท่าทางต่างๆส่งผลต่อร่างกาย เส้น ข้อและกระดูก อาจส่งผลให้เกิดโรคได้  

1.การจับเม้าส์คอมพิวเตอร์ 

พนักงานออฟฟิตส่วนมากมักต้องใช้คอมพิวเตอร์ ต้องพิมพ์งานและจับเม้าส์ โดยปกติมักจะนั่งหลังค่อม มือกระดกขึ้น หรือ วางมือบนแป้นพิมพ์ที่ผิดวิธี ท่าทางที่ถูกต้องคือ ควรนั่งหลังตรง คอตรง ปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ในอยู่ในระดับสายตา และนำหมอนมารองใต้ข้อมือเวลาพิมพ์งานหรือจับเม้าส์ เพื่อให้ข้อมือ แขนจนถึงข้อศอก ขนานเป็นเส้นตรง ยิ่งไปกว่านั้นควรหมั่น ลุกเดิน หรือเปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่น อย่านั่งนานจนเกินไป เพียงเท่านี้จะลดอาการปวดเมื่อยได้ 

2.การก้มหน้าดูมือถือ หรือแท็บเล็ต  

ปัจจุบันเรามักใช้เวลาส่วนมากเล่นโทรศัพท์มือถือ หรือ แท็บเล็ต แต่รู้หรือไม่ว่า การก้มคอแต่ละครั้งกระดูกต้นคอเราต้องรับน้ำหนักสูงขึ้น 6-7 เท่า และเสี่ยงต่ออาการกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท ซึ่งยังรวมถึงการก้มคอพิมพ์งาน เขียนอ่านหนังสือ อ่านหนังสือก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ท่าที่ถูกต้องควรตั้งคอให้ตรง หูต้องขนานกับไหล่ ไม่ยื่นไปข้างหน้า ยกมือถือขึ้นในระดับสายตา ใช้กำลังแขนแทนการก้มคอ สามารถผ่อนคลายจากการจับมือถือนานๆ ได้โดย ให้นำมือข้างใดข้างหนึ่งจับไปที่หูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมือ แล้วดึงศีรษะไปทางด้านเดียวกับมือที่ใช้จับหู เช่น มือซ้ายจับหูขวา ดึงไปทางด้านซ้าย นับ 1-30 และทำสลับข้างซ้ำอีกรอบ 

3.การขับรถนาน  

การขับรถนานๆก่อให้เกิด Office Syndrome ได้จากท่าขับรถ คนที่ขับนานมักมีปัญหาปวดบริเวณหลังล่างหรือเอวด้านล่าง จึงควรปรับเบาะในอยู่ในระยะที่เหมาะสม ไม่ห่างหรือชิดพวงมาลัยจนเกินไป ก้นติดเบาะด้านใน นั่งหลังตรง ไม่โน้มมาข้างหน้า หากมีอาการเหนื่อยล้าให้จอดพักในพื้นที่ปลอดภัย แล้วนำมือสองมือประสานกัน จับไปที่ท้ายทอยแล้วกดลง โน้มน้ำหนักลงมาเรื่อยๆ ทำให้มีการยืดบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอ 

จะเห็นได้ว่าการทำพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นระยะเวลานาน ด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสเป็นโรคออฟฟิตซินโดรมได้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็ควรปรับเปลี่ยนท่า ไม่ใช้งานมือข้างเดิมเป็นระยะเวลานาน ควรหยุดพักบ้าง และที่สำคัญควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อคลายเส้น

อาหารที่มี ฟอสฟอรัสสูง เหมาะสำหรับร่างกาย มีอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่เราจะรู้จักวิตามินต่างๆที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยสามารถหารับประทานในอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ร่างกายยังต้องการแร่ธาตุต่างๆอีกด้วย “ฟอสฟอรัส” สามารถพบในทุกเซลล์ของร่างกาย จึงเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการและมีความจำเป็น แล้วเราควรได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณเท่าไหร่ และหาได้จากที่ไหนได้บ้าง เรามีคำตอบคะ

หน้าที่ของฟอสฟอรัสคืออะไร 

ช่วยสร้างและบำรุงรักษากระดูกและฟัน มีบทบาทในการสร้างDNAและRNAหน่วยพันธุกรรมของร่างกาย มีบทบาทในการเผาผลาญพลังงานเปลี่ยนแคลอรี่และออกซิเจนเป็นพลังงาน ช่วยเรื่องการหดตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจ และการส่งสัญญาณของระบบประสาท ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่สามารถผลิตสารได้เองเราจะได้จากอาหาร 

อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง รับประทานแค่ไหนถึงพอดี? 

รับประทานในปริมาณตามช่วงอายุดังต่อไปนี้ 

  • ทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ให้รับประทานจากนมแม่ 
  • ทารกในช่วงอายุ 6–11 เดือน ให้รับประทานในปริมาณ 275 มิลลิกรัม/วัน 
  • เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 1–8 ปี ให้รับประทานในปริมาณ 460–500 มิลลิกรัม/วัน 
  • เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 9–18 ปี ให้รับประทานในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน 
  • ผู้ที่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้รับประทานในปริมาณ 700 มิลลิกรัม/วัน 

อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงมีอะไรบ้าง? 

1.อาหารทะเล  

อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยลาย ปลาแซลมอน และปู ถือเป็นแหล่งของฟอสฟอรัสที่ดี  ในปริมาณ 100 กรัมเท่ากัน หอยลายจะให้ฟอสฟอรัสอยู่ที่ประมาณ 198 มิลลิกรัม ปลาแซลมอนอยู่ที่ประมาณ 261 มิลลิกรัม และปูจะอยู่ที่ประมาณ 232 มิลลิกรัม 

2.นมและผลิตภัณฑ์จากนม  

ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส โยเกิร์ต เช่น นม 1 แก้ว (ประมาณ 244 มิลลิลิตร) จะให้ฟอสฟอรัสประมาณ 246 มิลลิกรัม โยเกิร์ต 1 ถ้วย (ประมาณ 245 กรัม) จะให้ฟอสฟอรัสประมาณ 252 มิลลิกรัม และชีส 1 แผ่น  (ประมาณ 21 กรัม) จะให้ฟอสฟอรัสประมาณ 161 มิลลิกรัม 

3.เนื้อหมูและไก่ 

เนื้อหมูและไก่ถือเป็นวัตถุดิบที่พบได้ในอาหารหลายเมนู โดยในปริมาณ 100 กรัมเท่ากัน เนื้อหมูจะให้ฟอสฟอรัสประมาณ 175 มิลลิกรัม ส่วนเนื้อไก่จะอยู่ที่ประมาณ 178 มิลลิกรัม แต่ปริมาณอาจลดลงไปบ้างเมื่อนำไปประกอบอาหาร โดยเฉพาะการต้ม 

4.ไข่ 

ไข่ไก่ ไข่เป็น เป็นวัตถุดิบที่มีติดครัวตลอดเวลา โดยไข่ขนาดใหญ่ 1 ฟองจะให้ฟอสฟอรัสอยู่ที่ประมาณ 92.6 มิลลิกรัม 

ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ซึ่งเราสามารถได้รับจากสารอาหารที่เรารับประทานในแต่ละวัน แต่การรับประทานอาหารที่หลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกรับประทานในรูปแบบอาหาร การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีฟอสฟอรัสก็อาจช่วยได้เช่นกัน แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาบางชนิดอยู่ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย

ผัก 6 ชนิด ตัวช่วยของลูกน้อยให้ขับถ่ายดี ถ่ายคล่อง

เด็กๆจำนวนมากมักประสบปัญหาการขับถ่าย เบ่งกันแบบหน้าดำหน้าแดง เหงื่อไหล ต้องใช้เวลานานกว่าจะถ่ายออกมาได้ อุจจาระที่ออกมาก็แข็งเป็นก้อนและปริมาณก็น้อยเหลือกเกิน คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่าหากเราให้ลูกรับประทานผักบางประเภทบ่อยๆ จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

ผักช่วยเรื่องระบบขับถ่ายมีคุณสมบัติอะไรบ้าง 

มีใยอาหารสูง 

ใยอาหารมีหน้าที่ดูดซับน้ำ ช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น เคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น และช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้  

มีน้ำมาก 

น้ำช่วยให้ใยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้อุจจาระนิ่มลง เคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น  

มีเมือก 

เมือกช่วยเคลือบผนังลำไส้ ทำให้อุจจาระไหลผ่านได้ง่ายขึ้น ผักที่มีเมือก  

มีสารกระตุ้นการขับถ่าย 

สารกระตุ้นการขับถ่ายช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น ผักที่มีสารกระตุ้นการขับถ่าย  

ผักที่ช่วยให้ขับถ่ายได้ดี  

1.ตำลึง 

ผักตำลึงมีงานวิจัยที่สนับสนุนภูมิปัญญาไทยเกี่ยวกับตำลึง โดยพบว่าตำลึงมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายมีทั้งใยอาหารช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหารในลำไส้ แมกนีเซียม ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ และโพแทสเซียม ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ 

2.ผักโขม 

ผักโขมมีใยอาหารสูงช่วยเพิ่มกากอาหารในลำไส้ ทำให้มวลอุจจาระนิ่มขึ้น กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายคล่องขึ้น ผักโขมมีน้ำสูง น้ำช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ป้องกันการอุจจาระแข็ง และยังมีวิตามินเคช่วยให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย 

3.บร็อคโคลี่

บร็อคโคลี่อุดมไปด้วยใยอาหาร ช่วยเพิ่มกากอาหารในอุจจาระ ทำให้มวลอุจจาระนิ่มขึ้น กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายคล่องขึ้น  และยังเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

4.ฟักทอง

ฟักทองมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ช่วยป้องกันท้องผูก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังอีกด้วย 

5.ผักบุ้ง

ผักบุ้งเป็นผักใบเขียวที่มีใยอาหาร ช่วยเพิ่มกากอาหาร เป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ทั้งยังช่วยป้องกันท้องผูก มีสารต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 

6.ถั่วลันเตา 

ถั่วลันเตามีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี มีโพแทสเซียม ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และมีแมกนีเซียม ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มลง ป้องกันท้องผูก 

คุณพ่อคุณแม่ลองนำผักเหล่านี้มาทำเป็นเมนูอาหารให้ลูกๆทาน จะได้ช่วยให้ลูกขับถ่ายได้ดีขึ้น รับประทานทุกวันได้ยิ่งดี ทานได้มากได้น้อยก็ไม่เป็นไร ค่อยๆปรับกันไป

จุดชมดอกไฮเดรนเยียญี่ปุ่น ที่ใกล้โตเกียวมากที่สุด

สาวกดอกไฮเดรนเยีย ต้องไม่พลาด เพราะช่วงหน้าฝนนี้เป็นช่วงที่ดอกไฮเดรนเยียแข่งกันบาน ชูช่อสวยงาม ชาวญี่ปุ่นเรียกช่วงฤดูฝนว่า “ทสิยุ” (Tsuyu) ในเดือนมิถุนายน เป็นเดือนที่ดอกไฮเดรนเยีย เริ่มผลิบาน ครั้งนี้เราจะมาบอกจุดเช็คอินชมดอกไฮเดรนเยียที่ญี่ปุ่นกัน

ดอกไฮเดรนเยีย หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า “ดอกอะจิไซ (Ajisai)” ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงหลั่นเชิ่งประกอบ ช่อกลม มีมากกว่า 80 สายพันธุ์ทั่วโลก สามารถเปลี่ยนสีได้ตามความเป็นกรด-ด่างของดินที่ปลูก  

สถานที่ที่ในการชมดอกไฮเดรนเยีย 

ศาลเจ้าฮาคุซัน (บุงเกียวคุ โตเกียว) 

จะมีการจัดงาน เทศกาลบุงเคียวไฮเดรนเยีย ประมาณกลางเดือนมิถุนายน โดยมีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์เป็นหลัก ในช่วงเทศกาล Fuji-Zuka (เนินดิน) ยังเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมเพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเพลิดเพลินกับการชมดอกไฮเดรนเยีย 

วัดเมเก็ตสึอิน (คามาคุระ คานางาวะ)  

มีต้นไฮเดรนเยีย 2,500 ต้นที่ขึ้นเต็มบริเวณวัดมีชื่อเล่นว่า “เมเง็ตสึอินบลู ดอกไฮเดรนเยียที่บานทั้งสองด้านของขั้นบันไดหินส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ “ฮิเมะไฮเดรนเยีย” ของญี่ปุ่นโบราณซึ่งมีสีฟ้าอ่อน 

วัดฮาเสะเดระ (คามาคุระ คานางาวะ) 

ทางเดินเต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยียหลากสีสันสองข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นดอกไฮเดรนเยียจีน และไฮเดรนเยียบนภูเขา มีมากกว่า 40 สายพันธุ์ โดยมีหาดยูอิกาฮามะเป็นฉากหลัง  

สวนสะกะมิฮาระ คิตะ (เมืองซะงะมิฮะระ จังหวัดคะนะงะวะ) 

มีชื่อเสียงในเรื่องดอกไฮเดรนเยียสีขาว มีดอกไฮเดรนเยียประมาณ 200 ชนิดและปลูกกว่า 10,000 ต้นในสวน ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ไฮเดรนเยียบนภูเขา ไฮเดรนเยียจีน และไฮเดรนเยียตะวันตกจะบานตามลำดับ และในช่วงปลายเดือน แอนนาเบลล์พันธุ์สีขาวล้วนปกคลุมภูเขาราวกับหิมะ  

สวนอุเอโนะ (อุเอโนะ โตเกียว) 

สวนอุเอโนะจะมีชื่อเสียงในด้านสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ และดอกซากุระ ดอกไฮเดรนเยียบานสะพรั่งทางฝั่งตะวันตกของสระชิโนบาสุ  

ภูเขา Minamisawa Hydrangea (อาจิไซ) (เมือง Akiruno โตเกียว) 

ภูเขา Minamisawa Ajisai (ไฮเดรนเยีย) เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในเมือง Akiruno ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องดอกไฮเดรนเยียใบโต แตกต่างจากชื่อ ภูเขา จริงๆ แล้วสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นเหมือนป่าที่มีการปลูกดอกไฮเดรนเยียกว่า 10,000 ต้นบนเนินเขาในหุบเขา โดยคนในท้องถิ่น ชูอิจิ มินามิซาวะ ซึ่งปลูกไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว หนึ่งศตวรรษ 

สำหรับใครที่ออกชมความงามของดอกไฮเดรนเยียที่ญี่ปุ่น ควรศึกษาข้อมูลของแต่ละสถานที่ให้ดีเสียก่อนจะได้ไม่พลาดโอกาส ไปในช่วงที่ดอกยังไม่บานเต็มที่หรือร่วงโรยแล้ว  

ข้อควรรู้ก่อนติดตั้งโซล่าเซลล์

ปัจจุบันคนหันมาสนใจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น อยากจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ใช้ในบ้านเพื่อเป็นการประหยัดการใช้พลังงาน และถ้าบ้านไหนผลิตได้ในปริมาณมากสามารถนำมาขายให้กับภาครัฐได้อีกด้วย แต่ก่อนอื่นใดเราควรทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์กันเสียก่อน

ข้อควรพิจารณาเบื้องต้นก่อนติดตั้งโซลาร์เซลล์ 

สิ่งที่คุณจะต้องเช็กให้ดีก่อนติดตั้งโซลาร์เซลล์ มีดังนี้ 

1.ปริมาณและทิศทางของแสงแดดที่ส่องถึงหลังคาบ้าน 

ควรมีปริมาณแสงแดดเพียงพอ และบ้านควรหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับแสงแดดได้มากที่สุด ไม่มีต้นไม้บดบังหลังคา  

  • ทิศเหนือเป็นทิศที่ได้รับแสงแดดน้อยที่สุด 
  • ทิศใต้เป็นทิศที่ดีที่สุด เพราะจะได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน 
  • ทิศตะวันออกจะได้รับแสงแดดในช่วงเช้า-เที่ยงเท่านั้น 
  • ทิศตะวันตกประสิทธิภาพการรับแสงจะเท่ากับทางด้านทิศตะวันออก 

2.พื้นที่บนหลังคา 

จะต้องมีพื้นที่กว้าง และแข็งแรง สามารถติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ได้อย่างเหมาะสม 

3.ความแข็งแรงของหลังคาบ้าน 

มาตราฐานของแผ่นโซล่าเซลล์จะมีขนาดอยู่ที่ 1x2 เมตร และ 1 แผ่น จะมีน้ำหนักประมาณ 22 กิโลกรัม ดังนั้น คุณควรทำการตรวจสอบหลังคาบ้าน และวัสดุที่ใช้ปูหลังคา หากไม่แข็งแรง ไม่มั่นคง ต้องทำการรีโนเวทใหม่  

4.รูปทรงของหลังคาบ้าน 

การติดตั้งโซล่าเซลล์สามารถทำการติดตั้งได้กับหลังคาทุกๆ ประเภท แต่จะมีบางประเภทที่ทำการติดตั้งได้ง่ายกว่าประเภทอื่นๆ 

  • หลังคาทรงจั่ว ลักษณะหลังคาจะสูง ลาดชัน ทำให้สามารถติดโซล่าเซลล์ได้ง่ายที่สุด
  • หลังคาทรงปั้นหยา จะมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย สามารถติดตั้งได้ทุกทิศของหลังคา
  • หลังคาทรงเพิงแหงน สามารถติดตั้งโซล่าเซลล์ได้ง่ายเช่นเดียวกับหลังคาทรงจั่ว  

5.งบประมาณและระยะเวลาคืนทุน 

การติดตั้งโซลาร์เซลล์มีค่าใช้จ่ายที่สูง เนื่องจากมีหลายขนาด (KWp) เริ่มต้น 170,000-500,000 บาท ประกอบด้วย ค่าอุปกรณ์และแผงโซลาร์เซลล์ ค่าแรงงานการติดตั้ง ค่าบำรุงรักษา และค่าเชื่อมต่อระบบ ส่วนระยะเวลาการคืนทุนส่วนใหญ่จะอยู่ภายใน 6 ปี หากพฤติกรรมการใช้ไฟไม่มีการเปลี่ยนแปลง 

6.ระยะเวลาการติดตั้ง 

การติดตั้งโซลาร์เซลล์จะต้องยื่นขออนุญาตกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ถึงจะสามารถดำเนินการติดตั้งได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน 

7.ข้อจำกัดต่าง ๆ เพิ่มเติม 

ในบางที่อาจมีข้อจำกัดของพื้นที่และกฎระเบียบของท้องถิ่นเกี่ยวกับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ซึ่งจะต้องตรวจสอบให้ดีก่อนติดตั้ง ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาตามมาแน่นอน 

ข้อมูลเหล่านี้คงพอจะช่วยในการตัดสินใจว่าจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ไว้ใช้เองที่บ้านหรือไม่ และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อไปยังบริษัทที่รับติดตั้ง และเพื่อให้การติดตั้งและใช้งานโซลาร์เซลล์ราบรื่นควรเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ และได้มาตราฐาน 

สรงน้ำพระวันสงกรานต์อย่างไรให้ชีวิตดีในปี 2567

ในช่วงวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย “การสรงน้ำพระ” เป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมานานแสนนาน แล้วทราบไหมว่าทำไมต้องสรงน้ำพระ ทำแล้วได้อะไร และมีขั้นตอนการสรงน้ำอย่างไรที่ทำแล้วชีวิตปังๆเฮง

ทำไมต้องสรงน้ำพระ? 

ตามความเชื่อโบราณ การสรงน้ำพระเป็นการแสดงการเคารพและสักการะต่อ พระพุทธศาสนาครบทั้ง 3 ประการ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นการเริ่มต้นสิ่งที่เป็นมงคลในวันปีใหม่ ทำให้เกิดความสุขความร่มเย็นตลอดปี และยังเชื่อว่า การสรงน้ำพระพุทธรูปเป็นการทำความสะอาดพระที่ตลอดทั้งปีเราได้กราบไหว้ ขณะที่การสรงน้ำพระสงฆ์เป็นการช่วยให้ท่านเย็นสบายในช่วงฤดูร้อนที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี 

อานิสงค์ของการสรงน้ำพระ 

เชื่อกันว่าผลบุญจะส่งผลให้เราปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและมีความสุข  จิตใจผ่องใส สดชื่น สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว รวมถึงแผ่ผลบุญให้บรรพบุรุษ ญาติมิตร สรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวรได้อีกด้วย 

เผยเคล็ดลับวิธีสรงน้ำพระในบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมดวง หนุนนำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองตลอดปีใหม่นี้  

ขั้นตอนการสรงน้ำพระ 

1.ก่อนการเคลื่อนย้ายองค์พระ 

คุณจำเป็นจะต้องกล่าวขอขมาเสียก่อน  

สวดบทขอขมา : ตั้งนะโมฯ 3 จบ ตามด้วย “ระตะนัตตะเย ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต” 

(แปลว่า กายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 ที่ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งในพระรัตนตรัย ด้วยความตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ขอพระรัตนตรัยได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด) 

2.นำพระพุทธรูปมาวางไว้ในจุดที่จะสรงน้ำ 

เมื่อทำความสะอาดพระพุทธรูปเรียบร้อยดีแล้ว ให้นำไปวางบนโต๊ะที่มีถาดรองที่เตรียมไว้ เมื่อมาพร้อมหน้ากัน ให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่องว่า 

อิมินา สิญฺจะเนเนวะ โรโค โสโก อุปัททะโว นิพพันตุ สัพพะโส เอเต สุขี โหนตุ นิรันตะรัง 

(แปลว่า เดชะ ข้าสรงน้ำ พระชุ่มฉ่ำตลอดกาล ทุกข์โศกโรคภัยพาล อันตรธาน เป็นสุข เทอญ) 

แล้วอธิษฐานขอพรต่างๆ 

3.ย้ายองค์พระกลับสู่โต๊ะหมู่บูชา 

ย้ายพระกลับไปที่โต๊ะหมู่บูชาดังเดิม ที่ทำความสะอาดโต๊ะและเปลี่ยนผ้ารองฐานที่โต๊ะใหม่แล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี  

การสรงน้ำพระนอกจากจะเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ยังทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ มีความสุข พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ในวันขึ้นปีใหม่ไทย ด้วยความเป็นมงคลทั้งปวง 

ไหว้เช็งเม้งอย่างไรให้ถูกวิธี ชีวิตจะได้เฮงๆๆ

“วันเช็งเม้ง” เป็นประเพณีสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนเพื่อบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมักมีพิธีเซ่นไหว้และปัดกวาดหลุมศพ ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เมษายนของทุกปี

ประเพณีปฎิบัติในวันเช็งเม้ง 

1. การทำความสะอาดฮวงซุ้ยหรือสุสาน 

ต้องทำให้สะอาด ลงสีที่ป้ายชื่อให้ดูใหม่ โดยคนตายแล้วลงสีเขียว/สีทองขลิบเขียว ขณะที่ป้ายชื่อคนเป็นให้ลงสีแดง แต่ห้ามถอนหญ้า เพราะอาจกระทบตำแหน่งห้าม เช่น ทิศอสูร ทิศแตกสลาย ทิศดาวเบญจภูติ เป็นต้น สำหรับการตกแต่งสุสานนั้น อาจใช้กระดาษม้วนสายรุ้ง โดยสุสานคนเป็น ให้ใช้สายรุ้งสีแดง ส่วนสุสานคนตาย สามารถใช้สายรุ้งสีอะไรก็ได้ แต่ห้ามห้ามปักธงลงบนหลังเต่า เพราะถือว่า เป็นการทิ่มแทงหลุม และเป็นการทำให้หลังคาบ้านของบรรพบุรุษรั่ว 

2. การไหว้เจ้าที่เจ้าทาง   

การกราบไหว้เจ้าที่ เป็นการให้เกียรติ และขอบคุณที่ช่วยคุ้มครองดูแลสุสาน  

การจัดของไหว้มีดังนี้ 

  • เทียน 1 คู่ 
  • ธูป 5 ดอก 
  • น้ำชาและเหล้า อย่างละ 5 ถ้วย
  • ของไหว้ต่าง ๆ เช่น ขนมอี๋ ผลไม้ (ควรงดเนื้อหมูเพราะบางเจ้าที่เป็นอิสลาม) 
  • กระดาษเงิน กระดาษทอง 

3.การไหว้บรรพบุรุษ 

การจัดของไหว้ มีดังต่อไปนี้ 

  • อาหารคาว สื่อถึงเพื่อความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ เช่น ไก่ต้มทั้งตัว, ปลากระพงนึ่งซีอิ๊ว, เป็ดพะโล้, หมูสามชั้นต้ม เป็นต้น
  • ขนมหวาน เน้นขนมมีความหมายดี หน้าตาน่าทาน เช่น
    • ขนมถ้วยฟู (ฮวดโก้ย) หมายถึง ความเฟื่องฟู เจริญรุ่งเรือง
    • ซาลาเปา (เปาไช้) หมายถึง ห่อโชคและห่อเงินห่อทอง
    • ขนมเปี๊ยะ (ผั่วเปี้ย) หมายถึง ความปรารถนาดี ความสมบูรณ์ สมหวัง   
  • ผลไม้ ผลไม้มงคลที่นิยมนำมาเซ่นไหว้ได้แก่ 
    • สับปะรด : ผลไม้แห่งความโชคดี
    • ส้ม : ผลไม้แห้งสิริมงคล
    • แอปเปิล : ผลไม้ที่ช่วยปัดเป่าโรคภัย ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
    • สาลี่ : ผลไม้แห่งโชคลาภ และเงินทองที่ไหลมาเทมา
    • องุ่น : ผลไม้แห่งความเจริญงอกงาม รุ่งเรือง 
  • น้ำชา และเหล้า อย่างละ 3 ถ้วย เป็นการแสดงถึงความเคารพนับถือ 
  • ธูป-เทียน โดยใช้เทียน 1 คู่ ส่วนธูปใช้ตามจำนวนบรรพบุรุษ ท่านละ 1 ดอก ปักลงบนฟักแก่ 
  • กระดาษเงินกระดาษทอง เป็นการส่งเงินและทรัพย์สินไปให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเป็นการแสดงถึงความกตัญญู นอกจากนั้นยังมี รถยนต์กระดาษ บ้านกระดาษ เงินกระดาษ สมาร์ทโฟนกระดาษ เป็นต้น 

การไหว้เช็งเม้ง เป็นการระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตามความเชื่อหากใครไหว้ด้วยของดีๆ ทำด้วยใจ ก็จะส่งผลดีต่อตนเองและครอบครัว รวมถึงธุรกิจก็จะรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จอีกด้วย  

บทความใหม่ล่าสุด

บทความน่ารู้