ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นกัญชา ได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยา อาหารเสริม หรือเครื่องสำอาง ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการต่างหันมาให้ความสนใจลงทุนปลูกกัญชาเพื่อจำหน่าย
หนึ่งในคำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นคือ “ควรเลือกปลูกสายพันธุ์กัญชาแบบไหนดี?” เพราะสายพันธุ์ของต้นกัญชานั้นมีความหลากหลาย ทั้งในด้านลักษณะการเจริญเติบโต ปริมาณสารสำคัญ และวัตถุประสงค์ของการใช้ ดังนั้น การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ส่งผลต่อผลผลิต แต่ยังมีผลโดยตรงต่อ มูลค่าทางการตลาด อีกด้วย
ความสำคัญของการเลือกสายพันธุ์ก่อนปลูกเพื่อการค้า
การปลูกขายต้นกัญชา เพื่อการค้านั้นไม่ใช่เรื่องของการเลือกสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตมากที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น เช่น สภาพภูมิอากาศของพื้นที่ ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว ความต้องการของตลาด และปริมาณสาร CBD/THC ที่เหมาะสมตามกฎหมาย
สายพันธุ์ที่เหมาะกับการแพทย์อาจไม่ได้เหมาะกับการแปรรูปเป็นเครื่องสำอาง ในขณะที่สายพันธุ์ที่ให้สาร THC สูง แม้จะมีความนิยมในบางประเทศ ก็อาจมีข้อจำกัดในไทยที่ยังควบคุมสารนี้อย่างเข้มงวด
ดังนั้นผู้ที่สนใจจึงควรเลือกสายพันธุ์ที่ตอบโจทย์กับจุดประสงค์ของตนเอง พร้อมศึกษาคุณลักษณะและเงื่อนไขทางกฎหมายควบคู่กันไป
สายพันธุ์กัญชาที่นิยมปลูกในไทยเพื่อการค้า
ปัจจุบันมี สายพันธุ์ต้นกัญชา หลายชนิดที่ได้รับความนิยมปลูกในประเทศไทยเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ทั้งสายพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศ และสายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทยเอง โดยสายพันธุ์ที่โดดเด่นและเหมาะกับการปลูกเพื่อการค้าจะมีลักษณะเฉพาะดังนี้
- พันธุ์ Cannatonic
สายพันธุ์นี้มีจุดเด่นที่มีระดับ CBD สูง และ THC ต่ำ จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในวงการการแพทย์และอุตสาหกรรมสุขภาพ Cannatonic มีความสามารถในการลดอาการเจ็บปวด บรรเทาความเครียด โดยไม่ทำให้เกิดอาการมึนเมา เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ - พันธุ์ Charlotte’s Web
เป็นสายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อในด้าน ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ มี CBD สูงมากและ THC ต่ำเกือบเป็นศูนย์ ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีอาการเรื้อรัง เช่น โรคลมชัก หรืออาการวิตกกังวลรุนแรง - พันธุ์ไทยพื้นเมือง (เช่น ตะนาวศรี หรือหางกระรอก)
แม้สายพันธุ์ไทยจะไม่ค่อยมีการพูดถึงในวงการการค้าแบบสากล แต่กลับมี ความทนทานต่อสภาพอากาศในท้องถิ่น และให้กลิ่นเฉพาะที่โดดเด่น บางสายพันธุ์มี THC สูง เหมาะกับการวิจัยและพัฒนาในภาคการแพทย์ที่ต้องควบคุมเฉพาะด้าน - พันธุ์ Harlequin
อีกหนึ่งสายพันธุ์ยอดนิยมที่มี CBD และ THC ในสัดส่วนสมดุล ทำให้เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการผลทางการแพทย์พร้อมอารมณ์ผ่อนคลาย และยังสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย
การเลือกสายพันธุ์เหล่านี้ต้องพิจารณาไปพร้อมกับแนวทางการตลาด เช่น หากต้องการผลิตน้ำมัน CBD ควรเลือกสายพันธุ์ที่มี CBD สูงเพื่อให้สกัดได้ในปริมาณมากและคุ้มค่าต่อการผลิต
วิธีเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะกับแผนธุรกิจ
เพื่อให้การปลูก ต้นกัญชา เพื่อการค้าเกิดผลสำเร็จในระยะยาว ควรเริ่มต้นด้วยการวางแผนธุรกิจให้ชัดเจน ตั้งแต่วัตถุประสงค์ของการปลูก ไปจนถึงกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
- หากคุณต้องการปลูกเพื่อจำหน่ายดอกแห้งให้คลินิกแพทย์แผนไทย ควรมองหาสายพันธุ์ที่ CBD สูงและ THC ต่ำ เพื่อให้สามารถใช้รักษาโรคได้อย่างปลอดภัย
- หากตั้งใจจะปลูกเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมัน หรือเครื่องสำอาง สายพันธุ์ที่ให้สารออกฤทธิ์คงที่ มีความนิ่ง และสามารถควบคุมการผลิตได้ จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- สำหรับผู้ที่ปลูกในพื้นที่เปิดควรเลือกสายพันธุ์ที่ ทนทานต่ออากาศร้อนชื้น หรือโรคแมลง เช่น พันธุ์พื้นเมืองไทย เพื่อประหยัดต้นทุนและลดการใช้สารเคมี
การศึกษาสายพันธุ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการทดสอบภาคสนาม จะช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น และลดความเสี่ยงในการลงทุน
บทสรุป: สายพันธุ์ที่ดีคือรากฐานของธุรกิจที่ยั่งยืน
การเลือกสายพันธุ์ ต้นกัญชา ที่เหมาะสมสำหรับปลูกในประเทศไทยไม่ใช่แค่เรื่องของผลผลิต แต่คือการวางรากฐานให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาวอย่างมั่นคง
สายพันธุ์ที่ดีควรตอบโจทย์ทั้งตลาด กฎหมาย และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูก พร้อมทั้งสามารถรองรับแผนธุรกิจในอนาคตได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อขายตรง การแปรรูป หรือส่งออก
หากคุณกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจกัญชา การลงทุนศึกษาสายพันธุ์อย่างจริงจังคือก้าวแรกที่สำคัญ และจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คุณอยู่ในตลาดนี้ได้อย่างมั่นคง แข็งแรง และแตกต่างจากคู่แข่งในระยะยาวอย่างแท้จริง.